tag:blogger.com,1999:blog-34073997283545315762024-02-08T05:49:52.347-08:00ธงโภชนาการAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/05901078271783770994noreply@blogger.comBlogger1125tag:blogger.com,1999:blog-3407399728354531576.post-31620877307423684852013-02-14T00:23:00.001-08:002013-02-19T20:21:27.720-08:00ธงโภชนาการ<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<table border="0" cellpadding="5" cellspacing="0" class="fontblacksm" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr valign="top"><td><span class="fontbold"><a href="http://www.blogger.com/null" name="ความหมายของโภชนาการ อาหาร และสารอาหาร"></a><strong><span style="color: #674ea7; font-family: "Helvetica Neue", Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: large;">ความหมายของโภชนาการ อาหาร และสารอาหาร</span></strong></span><br />
<strong>โภชนาการ </strong> <strong>(nutrition)</strong> <span style="color: #bf9000;">หมายถึง อาหาร (food) ที่เข้าสู่ร่างกายคนแล้ว ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นประโยชน์ในด้านการเจริญเติบโต การค้ำจุนและการซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกาย โภชนาการมีความหมายกว้างกว่าและต่างจากคำว่าอาหาร เพราะอาหารที่กินกันอยู่ทุกวันนี้มีดีเลวต่างกัน อาหารหลายชนิดที่กินแล้วรู้สึกอิ่ม แต่ไม่มีประโยชน์ หรือก่อโทษต่อร่างกายได้<br /> ถ้านำเอาอาหารต่างๆมาวิเคราะห์ จะพบว่ามีสารประกอบอยู่มากมายหลายชนิด โดยอาศัยหลักคุณค่าทางโภชนาการทำให้มีการจัดสารประกอบต่างๆ ในอาหารออกเป็น ๖ ประเภท คือ โปรตีน (protein) คาร์โบไฮเดรต (carbohydrate) ไขมัน (fat) วิตามิน (vitamin) เกลือแร่ (mineral) และน้ำ สารประกอบทั้ง ๖ กลุ่มนี่เองที่เรียกว่า "สารอาหาร" (nutrient) ร่างกายประกอบด้วยสารอาหารเหล่านี้ และการทำงานของร่างกายจะเป็นปกติอยู่ได้ก็ต่อเมื่อได้สารอาหารทั้ง ๖ ประเภทครบถ้วน</span></td><td align="right"><span style="font-size: x-small;"></span></td></tr>
</tbody></table>
<table border="0" cellpadding="5" cellspacing="0" class="fontblacksm" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr valign="top"><td><span class="fontbold"><a href="http://www.blogger.com/null" name="โปรตีน"></a><strong><span style="color: #192e4c;">โปรตีน</span></strong></span><br />
<span style="color: #45818e; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">โปรตีนเป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่ร่างกายขาดไม่ได้ ถ้านำเอาโปรตีนมาวิเคราะห์ทางเคมี จะพบว่าประกอบด้วยสารเคมีจำพวกหนึ่งเรียกว่า กรดอะมิโน (amino acid) ซึ่งแบ่งได้เป็น ๒ พวก คือ<br /> ๑. กรดอะมิโนจำเป็น เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสร้างไม่ได้ ต้องได้จากอาหารที่กินเข้าไปเท่านั้น กรดอะมิโนที่อยู่ในกลุ่มนี้มีอยู่ ๙ ตัว คือ ฮิสติดีน (histidine) ไอโซลิวซีน (isoleucine) ลิวซีน (leucine) ไลซีน (lysine) เมไทโอนีน (methionine) เฟนิลอะลานีน (phenylalanine) ทรีโอนีน (threonine) ทริปโตเฟน (tryptophan) และวาลีน (valine)<br /> ๒. กรดอะมิโนไม่จำเป็น เป็นกรดอะมิโนที่นอกจากได้จากอาหารแล้ว ร่างกายยังสามารถสร้างได้ เช่น อะลานีน (alanine) อาร์จินีน (arginine) ซีสเตอีน (cysteine) โปรลีน (proline) และไทโรซีน (tyrosine) เป็นต้น<br /> เมื่อโปรตีนเข้าสู่ลำไส้ น้ำย่อยจากตับอ่อนและลำไส้จะย่อยโปรตีนจนเป็นกรดอะมิโนซึ่งดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายนำเอากรดอะมิโนเหล่านี้ไปสร้างเป็นโปรตีนมากมายหลายชนิด โปรตีนแต่ละชนิดมีส่วนประกอบและการเรียงตัวของกรดอะมิโนแตกต่างกันไป</span><strong><br /> <span style="color: purple;"> </span><span style="color: black;">หน้าที่ของโปรตีน</span></strong><br />
<span style="color: purple;"> โปรตีนมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายอยู่ ๖ ประการ คือ<br /> ๑. เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตไขมันและคาร์โบไฮเดรตไม่สามารถทดแทนโปรตีนได้เพราะไม่มีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ<br /> ๒. เมื่อเติบโตขึ้น ร่างกายยังต้องการโปรตีนเพื่อนำไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆที่สึกหรอไปทุกวัน<br /> ๓. ช่วยรักษาดุลน้ำ โปรตีนที่มีอยู่ในเซลล์และหลอดเลือด ช่วยรักษาปริมาณน้ำในเซลล์ และหลอดเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่พอเหมาะ ถ้าร่างกายขาดโปรตีน น้ำจะเล็ดลอดออกจากเซลล์และหลอดเลือดเกิดอาการบวม<br /> ๔. กรดอะมิโนส่วนหนึ่งถูกนำไปสร้างเป็นฮอร์โมน เอนไซม์ สารภูมิคุ้มกัน และโปรตีนชนิดต่างๆ ซึ่งแต่ละตัวมีหน้าที่แตกต่างกันไป และมีส่วนทำให้ปฏิกิริยาต่างๆ ในร่างกายดำเนินต่อไปได้ตามปกติ<br /> ๕. รักษาดุลกรด-ด่างของร่างกาย เนื่องจากกรดอะมิโนมีหน่วยคาร์บอกซีล (carboxyl) ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด และหน่วยอะมิโนมีฤทธิ์เป็นด่าง โปรตีนจึงมีสมบัติรักษาดุลกรด-ด่าง ซึ่งมีความสำคัญต่อปฏิกิริยาต่างๆภายในร่างกาย<br /> ๖. ให้กำลังงาน โปรตีน ๑ กรัมให้กำลังงาน ๔ กิโลแคลอรี อย่างไรก็ตาม ถ้าร่างกายได้กำลังงานจากคาร์โบไฮเดรตและไขมันเพียงพอ จะสงวนโปรตีนไว้ใช้ในหน้าที่อื่น</span><strong> อาหารที่ให้โปรตีน</strong><br />
<span style="color: #f1c232;"> อาจแบ่งโปรตีนตามแหล่งอาหารที่ให้โปรตีนออกเป็น ๒ พวก คือ โปรตีนจากสัตว์และโปรตีนจากพืช เมื่อพิจารณาถึงคุณค่าทางโภชนาการของอาหารที่ให้โปรตีน ต้องคำนึงถึงทั้งปริมาณและคุณภาพ คือ ดูว่าอาหารนั้นมีโปรตีนมากน้อยเพียงใด และมีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วนหรือไม่ อาหารที่ให้โปรตีน น้ำหนักส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เป็นโปรตีน และจากตารางจะเห็นว่าอาหารแต่ละชนิดมีโปรตีนไม่เท่ากัน โปรตีนจากนมและไข่ถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการยอดเยี่ยม เพราะมีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน ส่วนโปรตีนจากธัญพืชนอกจากมีปริมาณต่ำกว่าในเนื้อสัตว์และไข่แล้ว ยังมีความบกพร่องในกรดอะมิโนจำเป็นบางชนิด เช่น ข้าวขาดไลซีนและทรีโอนีน ข้าวสาลีขาดไลซีน ข้าวโพดขาดไลซีนและทริปโตเฟน ส่วนถั่วเมล็ดแห้ง แม้ว่าจะมีปริมาณโปรตีนสูง แต่มีระดับเมไทโอนีนต่ำ อย่างใดก็ตามโปรตีนจากพืชยังมีความสำคัญ เพราะราคาถูกกว่าโปรตีนจากสัตว์ และเป็นอาหารหลักของประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนา เพียงแต่ว่าต้องทำให้ประชาชนได้โปรตีนจากสัตว์เพิ่มขึ้น เพราะจะทำให้เพิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพของโปรตีนที่รับประทานในแต่ละวัน</span><strong> ความต้องการโปรตีน</strong> <span style="color: #e06666;"> คนเราต้องการโปรตีนในแต่ละวันมากน้อยเพียงใด ขึ้นกับปัจจัย ๒ ประการ คือ อาหารที่กินมีปริมาณและคุณภาพของโปรตีนอย่างไร และตัวผู้กินอายุเท่าไร ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรอยู่หรือเปล่า ตลอดจนมีอาการเจ็บป่วยอยู่หรือไม่ ความต้องการของโปรตีนลดลงตามอายุ เมื่อแรกเกิดเด็กต้องการโปรตีนวันละประมาณ ๒.๒ กรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัม ความต้องการดังกล่าวนี้ลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งตั้งแต่อายุ ๑๙ ปีขึ้นไป ต้องการโปรตีนเพียง ๐.๘ กรัมต่อน้ำหนักตัว ๑ กิโลกรัมต่อวัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะเด็กต้องการโปรตีนไปสร้างเนื้อเยื่อต่างๆในการเจริญเติบโต ส่วนผู้ใหญ่แม้ว่าการเจริญเติบโตหยุดแล้ว แต่ยังต้องการโปรตีนไว้ซ่อมแซมส่วนต่างๆ ที่สึกหรอไป ส่วนหญิงตั้งครรภ์ต้องการโปรตีนเพิ่มขึ้นอีกวันละ ๓๐ กรัม เพื่อนำไปใช้สำหรับแม่และลูกในครรภ์ แม่ที่ให้นมลูกต้องกินโปรตีนเพิ่มอีกวันละ ๒๐ กรัม เพราะการสร้างน้ำนมต้องอาศัยโปรตีนจากอาหาร</span></td><td align="right"><table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr><td align="middle" bgcolor="#ffffff"><span style="color: #e06666; font-size: x-small;"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3600__13122006044041.jpg" /></span><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td class="fontblackmini"><b><span style="color: #e06666;">อาหารที่มีประโยชน์</span></b></td><td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=18611&pictitle=อาหารที่มีประโยชน์&id=2311&actype=sub" target="_blank"><span style="color: #e06666;"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/search/images/photo.gif" width="20" /></span></a></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr><td align="middle" bgcolor="#ffffff"><span style="color: #e06666;"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3600_3_13122006044041.jpg" /></span><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td class="fontblackmini"><b><span style="color: #e06666;">อาหารที่ให้โปรตีน</span></b></td><td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=18613&pictitle=อาหารที่ให้โปรตีน&id=2311&actype=sub" target="_blank"><span style="color: #e06666;"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/search/images/photo.gif" width="20" /></span></a></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr><td align="middle" bgcolor="#ffffff"><span style="color: #e06666;"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3600_4_13122006044041.jpg" /></span><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td class="fontblackmini"><b><span style="color: #e06666;">อาหารที่ให้โปรตีน</span></b></td><td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=18614&pictitle=อาหารที่ให้โปรตีน&id=2311&actype=sub" target="_blank"><span style="color: #e06666;"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/search/images/photo.gif" width="20" /></span></a></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<table border="0" cellpadding="5" cellspacing="0" class="fontblacksm" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr valign="top"><td><span class="fontbold"><a href="http://www.blogger.com/null" name="คาร์โบไฮเดรต"></a><strong><span style="color: #192e4c;">คาร์โบไฮเดรต</span></strong></span><br />
<span style="color: #93c47d;">คาร์โบไฮเดรต จัดเป็นสารอาหารชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ในแต่ละโมเลกุลของคาร์โบไฮเดรตมีไฮโดรเจนและออกซิเจนอยู่ในอัตราส่วนสองต่อหนึ่ง สูตรทั่วไปของคาร์โบไฮเดรตคือC<sub>n</sub> H<sub>2n</sub> O<sub>n</sub> </span> <strong> คาร์โบไฮเดรตแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท</strong> คือ<br />
<span style="color: #0b5394;"> <strong><em>๑. โมโนแซ็กคาไรด์ (monosaccharide)</em></strong> เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กที่สุด เมื่อกินแล้วจะดูดซึมจากลำไส้ได้เลย ไม่ต้องผ่านการย่อย ตัวอย่างของน้ำตาลประเภทนี้ได้แก่ กลูโคส (glucose) และฟรักโทส (fructose) ทั้งกลูโคสและฟรักโทสเป็นน้ำตาลที่พบได้ในผัก ผลไม้ และน้ำผึ้ง น้ำตาลส่วนใหญ่ที่พบในเลือด คือ กลูโคส ซึ่งเป็นตัวให้กำลังงานที่สำคัญ<br /> <em> <strong>๒. ไดแซ็กคาไรด์ (disaccharide)</strong></em> เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ประกอบด้วยโมโนแซ็กคาไรด์ ๒ ตัวมารวมกันอยู่ เมื่อกินไดแซ็กคาไรด์เข้าไป น้ำย่อยในลำไส้เล็กจะย่อยออกเป็นโมโนแซ็กคาไรด์ก่อน ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้เป็นประโยชน์ได้ ไดแซ็กคาไรด์ที่สำคัญทางด้านอาหาร คือ แล็กโทส (lactose) และซูโครส (sucrose) แล็กโทสเป็นน้ำตาลที่พบในน้ำนม แต่ละโมเลกุลประกอบด้วยกลูโคส และกาแล็กโทส (galactose) ส่วนน้ำตาลทรายหรือซูโครสนั้น พบอยู่ในอ้อยและหัวบีต แต่ละโมเลกุล ประกอบด้วย กลูโคสและฟรักโทส<br /> <em> </em><strong><em>๓. พอลีแซ็กคาไรด์ (polysaccharide)</em> </strong>เป็นคาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ และมีสูตรโครงสร้างซับซ้อน ประกอบด้วยโมโนแซ็กคาไรด์จำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ พอลีแซ็กคาไรด์ที่สำคัญทางอาหาร ได้แก่ ไกลโคเจน (glycogen) แป้ง (starch) และเซลลูโลส (cellulose) ไกลโคเจนพบในอาหารพวกเนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์ ส่วนแป้งและเซลลูโลสพบในพืช แม้ว่าไกลโคเจน แป้ง และเซลลูโลสประกอบด้วยกลูโคสเหมือนกัน แต่ลักษณะการเรียงตัวของกลูโคสต่างกันทำให้ลักษณะสูตรโครงสร้างต่างกันไป เฉพาะไกลโคเจนและแป้งเท่านั้นที่น้ำย่อยในลำไส้สามารถย่อยได้<br />น้ำตาลประเภทโมโนแซ็กคาไรด์และไดแซ็กคาไรด์เป็นน้ำตาลที่มีรสหวาน แต่มีรสหวานไม่เท่ากันน้ำตาลฟรักโทส กลูโคส และแล็กโทสมีความหวานเป็นร้อยละ ๑๑๐, ๖๑ และ ๑๖ ของน้ำตาลทรายตามลำดับ</span><br />
<strong> หน้าที่ของคาร์โบไฮเดรต</strong> <span style="color: #a64d79;"> คาร์โบไฮเดรตมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายดังนี้<br /> ๑. ให้กำลังงาน ๑ กรัมของคาร์โบไฮเดรตให้ ๔ กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่ให้กำลังงานไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๕๐ ของแคลอรีทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละวัน ชาวไทยในชนบทบางแห่งได้กำลังงานจากคาร์โบไฮเดรตถึงร้อยละ ๘๐<br /> ๒. สงวนคุณค่าของโปรตีนไว้ไม่ให้เผาผลาญเป็นกำลังงาน ถ้าได้กำลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเพียงพอ<br /> ๓. จำเป็นต่อการเผาผลาญไขมันในร่างกายให้เป็นไปตามปกติ ถ้าหากร่างกายได้คาร์โบไฮเดรตไม่พอจะเผาผลาญไขมันเป็นกำลังงานมากขึ้น เกิดสารประเภทคีโทน (ketone bodies) คั่ง ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้<br /> ๔. กรดกลูคูโรนิก (glucuronic acid) ซึ่งเป็นสารอนุพันธุ์ของกลูโคส ทำหน้าที่เปลี่ยนสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายเมื่อผ่านไปที่ตับ ให้มีพิษลดลง และอยู่ในสภาพที่ขับถ่ายออกได้<br /> ๕. การทำงานของสมองต้องพึ่งกลูโคสเป็นตัวให้กำลังงานที่สำคัญ<br /> ๖. อาหารคาร์โบไฮเดรตพวกธัญพืช เป็นแหล่งให้โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ด้วย</span><strong> อาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรตและความต้องการคาร์โบไฮเดรต</strong> <span style="color: #45818e;"> อาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรตมีอยู่ ๕ ประเภท คือ ธัญพืช ผลไม้ ผัก นม ขนมหวานและน้ำหวานชนิดต่างๆ แม้ว่าโปรตีนและไขมันให้กำลังงานได้เช่นเดียวกับคาร์โบไฮเดรตก็จริง แต่อย่างน้อยที่สุด ผู้ใหญ่แต่ละคนควรกินคาร์โบไฮเดรตไม่ต่ำกว่า ๕๐-๑๐๐ กรัม เพื่อหลีกเลี่ยงผลร้ายจากการเผาผลาญโปรตีนและไขมัน ถ้าจะให้ดีร้อยละ ๕๐ ของกำลังงานที่ได้รับในแต่ละวันควรด้มาจากคาร์โบไฮเดรต</span></td><td align="right"><table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr><td align="middle" bgcolor="#ffffff"><span style="font-size: x-small;"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3602__13122006044250.jpg" /></span><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td class="fontblackmini"><b>อาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรต</b></td><td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=18615&pictitle=อาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรต&id=2311&actype=sub" target="_blank"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/search/images/photo.gif" width="20" /></a></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<table border="0" cellpadding="5" cellspacing="0" class="fontblacksm" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr valign="top"><td><span class="fontbold"><a href="http://www.blogger.com/null" name="ไขมัน"></a><strong><span style="color: #192e4c;">ไขมัน</span></strong></span><br />
<span style="color: orange;">ไขมัน หมายถึง สารอินทรีย์กลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถละลายได้ในน้ำ แต่ละลายได้ดีในน้ำมันและไขมันด้วยกัน ตัวอย่างของไขมันที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของคน คือ ไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) และคอเลสเทอรอล ส่วนใหญ่ของไขมันที่อยู่ในอาหาร คือ ไตรกลีเซอไรด์ ดังนั้น เมื่อพูดถึงไขมันเฉยๆ จึงหมายถึงไตรกลีเซอไรด์ แต่ละโมเลกุลของไตรกลีเซอไรด์ ประกอบด้วย กลีเซอรอล (glycerol) และกรดไขมัน (fatty acid) โดยกลีเซอรอลทำหน้าที่เป็นแกนให้กรดไขมัน ๓ ตัวมาเกาะอยู่ กรดไขมันทั้ง ๓ ชนิดอาจเป็นชนิดเดียวกันหรือต่างชนิดก็ได้ ไตร-กลีเซอไรด์ที่สกัดจากสัตว์มีลักษณะแข็งเมื่อทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง ส่วนไตรกลีเซอไรด์ที่สกัดจากเมล็ดพืชผลไม้เปลือกแข็งและปลามีลักษณะเป็นน้ำมัน</span><strong><br /> กรดไขมัน</strong><br />
<span style="color: #0b5394;">เป็นสารที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจนและออกซิเจน กรดไขมันแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ<br /> ๑. กรดไขมันไม่จำเป็น เป็นกรดไขมันที่นอกจากได้จากอาหารแล้ว ร่างกายยังสามารถสังเคราะห์ได้ด้วย เช่น กรดสเตียริก (stearic acid) กรดโอเลอิก (oleic acid)<br /> ๒. กรดไขมันจำเป็น เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสังเคราะห์เองไม่ได้ ต้องได้จากอาหารที่กินเข้าไป มีอยู่ ๓ ตัวคือ กรดไลโนเลอิก (linoleic acid) กรดไลโนเลนิก (linolenic acid) และกรดอะแรคิโดนิก (arachidonic acid) กรดไลโนเลอิกเป็นกรดไขมันจำเป็นที่พบมากที่สุดในอาหาร ส่วนกรดอะแรคิโดนิกนอกจากได้จากอาหารแล้ว ร่างกายยังสร้างได้จากกรดไลโนเลอิก</span><strong><span style="font-size: xx-small;"><big><br /> <span style="font-size: small;">หน้าที่ของไขมัน</span></big></span></strong><br />
<span style="color: blue;"> ไขมันมีความสำคัญในด้านโภชนาการหลายประการ นับตั้งแต่เป็นตัวให้กำลังงาน ไขมัน ๑ กรัม ให้กำลังงาน ๙ กิโลแคลอรี ให้กรดไขมันจำเป็นช่วยในการดูดซึมของวิตามินเอ ดี อี และเค รสชาติของอาหารจะถูกปากต้องมีไขมันในขนาดพอเหมาะและช่วยทำให้อิ่มท้องอยู่นาน นอกจากนี้ร่างกายยังเก็บสะสมไขมันไว้สำหรับให้กำลังงานเมื่อมีความต้องการ</span><strong><big><br /><span style="font-size: x-small;"> </span><span style="font-size: small;">อาหารที่ให้ไขมัน</span></big></strong><br />
<span style="color: blue;">ไขมัน นอกจากได้จากน้ำมันที่ใช้ในการปรุงอาหาร เช่น มันหมู มันวัว น้ำมันพืชชนิดต่างๆ อาหารอีกหลายชนิดก็มีไขมันอยู่ด้วย เนื้อสัตว์ต่างๆ แม้มองไม่เห็นไขมันด้วยตาเปล่าก็มีไขมันแทรกอยู่ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว และ เนื้อแกะ มีไขมันประมาณร้อยละ ๑๕ - ๓๐ เนื้อไก่มีประมาณร้อยละ ๖ - ๑๕ สำหรับเนื้อปลาบางชนิดมีน้อยกว่าร้อยละ ๑ บางชนิดมีมากกว่าร้อยละ ๑๒ ปลาบางชนิดมีไขมันน้อยในส่วนของเนื้อแต่ไปมีมากที่ตับ สามารถนำมาสกัดเป็นน้ำมันตับปลาได้ ในผักและผลไม้ มีไขมันน้อยกว่าร้อยละ ๑ ยกเว้นผลอะโวกาโด และโอลีฟ ซึ่งมีไขมันอยู่ถึงร้อยละ ๑๖ และ ๓๐ ตามลำดับ ในเมล็ดพืชและผลไม้เปลือกแข็งบางชนิดมีน้ำมันมาก สามารถใช้ความดันสูงบีบเอามาใช้ปรุงอาหารได้</span><strong><br /> บทบาทของกรดไลโนเลอิกต่อสุขภาพ</strong><br />
<span style="color: #38761d;"> ถ้าได้กรดไลโนเลอิกไม่เพียงพอเป็นระยะเวลานาน จะปรากฏอาการแสดงต่อไปนี้ คือ การอักเสบของผิวหนัง เกล็ดเลือดลดต่ำลง ไขมันคั่งในตับ การเจริญเติบโตชะงักงัน เส้นผมหยาบ ติดเชื้อได้ง่าย และถ้ามีบาดแผลอยู่จะหายช้า การขาดกรดไลโนเลอิกนี้มักพบในผู้ป่วยที่กินอาหารทางปากไม่ได้ และได้สารอาหารต่างๆ ยกเว้นไขมัน ผ่านทางหลอดเลือดดำ ร่างกายต้องการกรดไลโนเลอิกในขนาดร้อยละ ๒ ของแคลอรีที่ควรได้รับ เพื่อป้องกันการขาดกรดไลโนเลอิกการศึกษาในระยะหลังได้พบว่า ถ้ากินกรดไลโนเลอิกในขนาดร้อยละ ๑๒ ของแคลอรีที่ควรได้รับ จะทำให้ระดับคอเลสเทอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในลือดลดลง การจับตัวของเกล็ดเลือดที่จะเกิดเป็นก้อนเลือดอุดตันตามหลอดเลือดต่างๆ เป็นไปได้น้อยลง และช่วยลดความดันโลหิต</span><strong><span style="font-size: xx-small;"><big><br /><span style="color: #38761d;"> </span><span style="color: black; font-size: small;"> ปริมาณของกรดไลโนเลอิกในน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร</span></big></span></strong><br />
<span style="color: #38761d;"> น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ถ้ามาจากสัตว์มีกรดไลโนเลอิกน้อย น้ำมันพืชบางชนิดเท่านั้นมีกรดไลโนเลอิกมาก ในทางปฏิบัติควรเลือกกินน้ำมันพืชที่มีกรดไลโนเลอิกในเกณฑ์ร้อยละ ๔๖ ขึ้นไป เพราะในผู้ป่วยที่ได้รับกำลังงานวันละ ๒,๐๐๐ กิโลแคลอรี จะต้องกินน้ำมันพืชประเภทที่มีไลโนเลอิกร้อยละ ๔๖ ถึงวันละ ๑๕ ช้อนชา จึงได้กำลังงานร้อยละ ๑๒ ที่มาจากกรดไลโนเลอิก ถ้าใช้น้ำมันพืชที่มีปริมาณกรดไลโนเลอิกต่ำกว่านี้จะต้องใช้ปริมาณน้ำมันมากขึ้นในการปรุงอาหารซึ่งในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยาก</span><strong><br /> ความต้องการไขมัน</strong><br />
<span style="color: blue;"> ปริมาณไขมันที่กินแต่ละวันควรอยู่ในเกณฑ์ร้อยละ ๒๕-๓๕ ของแคลอรีทั้งหมดที่ได้รับ และร้อยละ๑๒ ของแคลอรีทั้งหมดควรมาจากกรดไลโนเลอิก</span></td><td align="right"><table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr><td align="middle" bgcolor="#ffffff"><span style="font-size: x-small;"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3604__13122006044600.jpg" /></span><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td class="fontblackmini"><b>ผิวหนังอักเสบจากการขาดกรดไลโนเลอิก</b></td><td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=18616&pictitle=ผิวหนังอักเสบจากการขาดกรดไลโนเลอิก&id=2311&actype=sub" target="_blank"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/search/images/photo.gif" width="20" /></a></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr><td align="middle" bgcolor="#ffffff"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3604_3_13122006044600.jpg" /><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td class="fontblackmini"><b>น้ำมันพืชชนิดต่าง ๆ</b></td><td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=18618&pictitle=น้ำมันพืชชนิดต่าง ๆ&id=2311&actype=sub" target="_blank"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/search/images/photo.gif" width="20" /></a></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<table border="0" cellpadding="5" cellspacing="0" class="fontblacksm" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr valign="top"><td><span class="fontbold"><a href="http://www.blogger.com/null" name="วิตามิน"></a><strong><span style="color: #192e4c;">วิตามิน</span></strong></span><br />
<span style="color: purple;"> วิตามิน เป็นกลุ่มของสารอินทรีย์ ซึ่งร่างกายต้องการจำนวนน้อย เพื่อทำให้ปฏิกิริยาต่างๆ ในร่างกายเป็นไปตามปกติ ร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินได้ หรือสร้างได้ก็ไม่เพียงพอแก่ความต้องการ โดยอาศัยสมบัติการละลายตัวของวิตามิน ทำให้มีการแบ่งวิตามินเป็น ๒พวก คือ วิตามินที่ละลายในไขมัน และวิตามินที่ละลายในน้ำ</span><strong><br /> วิตามินที่ละลายตัวในไขมัน</strong><br />
<span style="color: #351c75;"> วิตามินในกลุ่มนี้มี ๔ ตัว คือ เอ ดี อี และเคการดูดซึมของวิตามินกลุ่มนี้ต้องอาศัยไขมันในอาหาร มีหน้าที่ทางชีวเคมีเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีนบางชนิดในร่างกาย<br /> <strong><em> วิตามินเอ</em></strong> มีชื่อทางเคมีว่า เรทินอล (retinol) มีหน้าที่เกี่ยวกับการมองเห็น โดยเฉพาะในที่ทีมีแสงสว่างน้อย การเจริญเติบโต และสืบพันธุ์ อาหารที่ให้เรทินอลมากเป็นผลิตผลจากสัตว์ ได้แก่ น้ำนม ไข่แดง ตับน้ำมันตับปลา พืชไม่มีเรตินอล แต่มีแคโรทีน (carotene) ซึ่งเปลี่ยนเป็นเรตินอลในร่างกายได้ การกินผลไม้ ผักใบเขียว และผักเหลืองที่ให้แคโรทีนมาก เช่น มะละกอสุก มะม่วงสุก ผักบุ้ง ตำลึง ในขนาดพอเหมาะ จึงมีประโยชน์และป้องกันการขาดวิตามินเอได้<br /> <strong><em> วิตามินดี</em></strong> มีมากในน้ำมันตับปลา ในผิวหนังคนมีสารที่เรียกว่า ๗-ดีไฮโดรคอเลสเทอรอล ซึ่งเมื่อถูกแสงอัลตราไวโอเลตจะเปลี่ยนเป็นวิตามินดีได้ เมื่อวิตามินดีเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับและไต เป็นสารที่มีฤทธิ์ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ และการใช้แคลเซียมในการสร้างกระดูก การขาดวิตามินดีจะทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน<br /> <strong><em> วิตามินอี</em></strong> มีหน้าที่เกี่ยวกับการต่อต้านออกซิไดซ์สารพวกกรดไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินเอ วิตามินซีและแคโรทีน วิตามินอีมีมากในถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเปลือกอ่อน และน้ำมันพืช เช่น น้ำมันรำ น้ำมันทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย ในเด็กคลอดก่อนกำหนดการขาดวิตามินอีทำให้ซีดได้<br /> <strong><em> วิตามินเค</em></strong> มีหน้าที่สร้างโปรตีนหลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด การขาดวิตามินเค ทำให้เกิดภาวะเลือดออกได้ง่าย วิตามินเคมีมากในตับวัวและผักใบเขียว เช่น ผักกาดหอม กะหล่ำปลี นอกจากนี้บัคเตรีในลำไส้ใหญ่ของคนสามารถสังเคราะห์วิตามินเค ซึ่งร่างกายนำไปใช้ได้</span><strong></strong><br />
<strong> วิตามินที่ละลายตัวในน้ำ</strong> <span style="color: #6aa84f;">วิตามินในกลุ่มนี้มีอยู่ ๙ ตัว คือ วิตามินซี บี๑ บี๒ บี๖ ไนอาซิน กรดแพนโทเทนิก (pantothenic acid) ไบโอติน (biotin) โฟลาซิน (folacin) และบี๑๒ สำหรับวิตามิน ๘ ตัวหลังมักรวมเรียกว่า วิตามินบีรวมหน้าที่ทางชีวเคมีของวิตามินที่ละลายตัวในน้ำ คือ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาหรือทำให้ปฏิกิริยาของร่างกายดำเนินไปได้ วิตามินพวกนี้ต้องถูกเปลี่ยนแปลงจากสูตรโครงสร้างเดิมเล็กน้อยก่อนทำหน้าที่ดังกล่าวได้<br /> <em><strong>วิตามินซี</strong></em> มีหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างสาร ซึ่งยึดเซลล์ในเนื้อเยื่อชนิดเดียวกัน ที่สำคัญได้แก่ เนื้อเยื่อหลอดเลือดฝอย กระดูก ฟัน และพังผืด การขาดวิตามินซี ทำให้มีอาการเลือดออกตามไรฟัน ที่เรียกว่า โรคลักปิดลักเปิด และอาจมีเลือดออกในที่ต่างๆของร่างกาย อาหารที่มีวิตามินซีมากคือ ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว และผักสดทั่วไป<br /> <em><strong> วิตามินบี๑</strong></em> ทำหน้าที่เกี่ยวกับปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลงของคาร์โบไฮเดรตในร่างกาย ถ้าขาดจะเป็นโรคเหน็บชา อาหารที่มีวิตามินบี๑ มาก คือเนื้อหมูและถั่ว ส่วนข้าวที่สีแล้วมีวิตามินบี๑ น้อย<br /> <em><strong> วิตามินบี๒ </strong></em> มีหน้าที่ในขบวนการทำให้เกิดกำลังงานแก่ร่างกายอาหารที่มีวิตามินนี้มาก คือ ตับ หัวใจ ไข่ นม และผักใบเขียว<br /> <em><strong>วิตามินบี๖</strong></em> มีหน้าที่เกี่ยวกับการเผาผลาญโปรตีนภายในร่างกาย ถ้าได้วิตามินบี๖ ไม่พอ จะเกิดอาการชาและซีดได้ อาหารที่ให้วิตามินบี๖ ได้แก่ เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ถั่ว กล้วย และผักใบเขียว<br /> <em><strong>ไนอาซิน</strong></em> มีหน้าที่เกี่ยวกับปฏิกิริยาการเผาผลาญสารอาหารเพื่อให้เกิดกำลังงาน การหายใจของเนื้อเยื่อและการสร้างไขมันในร่างกาย การขาดไนอาซินจะทำให้มีอาการผิวหนังอักเสบบริเวณที่ถูกแสงแดด ท้องเดินและประสาทเสื่อม ความจำเลอะเลือน อาหารที่มีวิตามินนี้มาก ได้แก่ เครื่องในสัตว์และเนื้อสัตว์ ร่างกายสามารถสร้างไนอาซินได้จากกรดอะมิโนทริปโตเฟน<br /> <em><strong> กรดแพนโทเทนิก</strong></em> มีหน้าที่เกี่ยวกับการเผาผลาญสารอาหารเพื่อให้เกิดกำลังงาน อาหารที่ให้วิตามินตัวนี้ ได้แก่ ตับ ไต ไข่แดง และผักสด โอกาสที่คนจะขาดวิตามินตัวนี้มีน้อย<br /> <em><strong> ไบโอติน</strong></em> มีบทบาทสำคัญในปฏิกิริยาของกรดไขมันและกรดอะมิโน โอกาสที่คนจะขาดวิตามินตัวนี้มีน้อย เพราะอาหารที่ให้วิตามินตัวนี้มีหลายชนิด เช่น ตับ ไต ถั่ว และดอกกะหล่ำ<br /> <em><strong>โฟลาซิน</strong></em> มีหน้าที่เกี่ยวกับการสังเคราะห์กรดนิวคลิอิกและโปรตีน ถ้าขาดวิตามินตัวนี้จะเกิดอาการซีด ชนิดเม็ดเลือดแดงโต อาหารที่ให้โฟลาซินมาก คือ ผักใบเขียวสด น้ำส้ม ตับและไต</span><strong><br /><span style="color: #6aa84f;"> </span></strong><span style="color: #6aa84f;"> </span><br />
<span style="color: #6aa84f;"> <strong><em>วิตามินบี๑๒</em></strong> มีส่วนสำคัญต่อการทำงานของเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อไขกระดูก ระบบประสาท และทางเดินอาหาร มีส่วนสัมพันธ์กับหน้าที่บางอย่างของโฟลาซินด้วย การขาดวิตามินบี๑๒ จะมีอาการซีดชนิดเม็ดเลือดแดงโต และมีความผิดปกติทางระบบประสาท วิตามินบี๑๒ พบมากในอาหารจากสัตว์ เช่น ตับ ไต น้ำปลาที่ได้มาตรฐานปลาร้า แต่ไม่พบในพืชจะเห็นได้ว่า วิตามินบางชนิดมีอยู่เฉพาะในพืชหรือสัตว์ บางชนิดมีทั้งในพืชและสัตว์ การกินข้าวมากโดยไม่ได้อาหารพวกเนื้อสัตว์ ถั่ว พืช ผัก ไขมัน และผลไม้ที่เพียงพอ ย่อมทำให้ขาดวิตามินได้ง่ายขึ้น เพราะข้าวที่ขัดสี แล้วมีระดับวิตามินเอ บี๑ และบี๑๒ ต่ำมาก</span></td><td align="right"><table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr><td align="middle" bgcolor="#ffffff"><span style="color: #6aa84f; font-size: x-small;"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3605__13122006044910.jpg" /></span><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td class="fontblackmini"><b><span style="color: #6aa84f;">อาหารที่ให้วิตามิน</span></b></td><td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=18619&pictitle=อาหารที่ให้วิตามิน&id=2311&actype=sub" target="_blank"><span style="color: #6aa84f;"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/search/images/photo.gif" width="20" /></span></a></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table bgcolor="#cccccc" border="0" cellpadding="10" cellspacing="1"><tbody>
<tr><td align="middle" bgcolor="#ffffff"><span style="color: #6aa84f;"><img src="http://guru.sanook.com/picfront/sub/resize_3605_2_13122006044910.jpg" /></span><br />
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td class="fontblackmini"><b><span style="color: #6aa84f;">อาหารที่ให้วิตามิน</span></b></td><td align="right"><a href="http://guru.sanook.com/enc_photo.php?pic=18620&pictitle=อาหารที่ให้วิตามิน&id=2311&actype=sub" target="_blank"><span style="color: #6aa84f;"><img border="0" height="15" src="http://guru.sanook.com/search/images/photo.gif" width="20" /></span></a></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
<table border="0" cellpadding="5" cellspacing="0" class="fontblacksm" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr valign="top"><td><span class="fontbold"><a href="http://www.blogger.com/null" name="เกลือแร่"></a><strong><span style="color: #192e4c;">เกลือแร่</span></strong></span><br />
<span style="color: #e69138;"> เกลือแร่ เป็นกลุ่มของสารอนินทรีย์ที่ร่างกายขาดไม่ได้ มีการแบ่งเกลือแร่ที่คนต้องการออกเป็น ๒ ประเภท คือ<br /> ๑. เกลือแร่ที่คนต้องการในขนาดมากกว่าวันละ ๑๐๐ มิลลิกรัม ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม โพแทสเซียม คลอรีน แมกนีเซียม และกำมะถัน<br /> ๒. เกลือแร่ที่คนต้องการในขนาดวันละ ๒-๓ มิลลิกรัม ได้แก่ เหล็ก ทองแดง โคบอลต์ สังกะสี แมงกานีส ไอโอดีน โมลิบดีนัม ซีลีเนียม ฟลูออรีนและโครเมียม</span><strong><br /><span style="color: #e69138;"> หน้าที่ของเกลือแร่</span></strong><br />
<span style="color: #e69138;"> ร่างกายมีเกลือแร่เป็นส่วนประกอบอยู่ประมาณร้อยละ ๔ ของน้ำหนักตัว เกลือแร่แต่ละชนิดมีหน้าที่เฉพาะของตัวเอง อย่างไรก็ตาม หน้าที่โดยทั่วไปของเกลือแร่มีอยู่ ๕ ประการ คือ<br /> ๑. เป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของกระดูกและฟัน ทำให้กระดูกและฟันมีลักษณะแข็ง<br /> ๒. เป็นส่วนประกอบของโปรตีน ฮอร์โมนและเอนไซม์ เช่น เหล็ก เป็นส่วนประกอบของโปรตีนชนิดหนึ่ง เรียกว่า เฮโมโกลบิน (hemoglobin) ซึ่งจำเป็นต่อการขนถ่ายออกซิเจนแก่เนื้อเยื่อต่างๆ ทองแดงเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ ซึ่งจำเป็นต่อการหายใจของเซลล์ไอโอดีนเป็นส่วนประกอบของฮอร์โมนไทรอกซีน ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย ถ้าหากร่างกายขาดเกลือแร่เหล่านี้ จะมีผลกระทบต่อการทำงานของโปรตีน ฮอร์โมน และเอนไซม์ที่มีเกลือแร่เป็นองค์ประกอบ<br /> ๓. ควบคุมความเป็นกรด-ด่างของร่างกาย โซเดียม โพแทสเซียม คลอรีน และฟอสฟอรัส ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมความเป็นกรด-ด่างของร่างกาย เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้<br /> ๔. ควบคุมดุลน้ำ โซเดียม และโพแทสเซียมมีส่วนช่วยในการควบคุมความสมดุลของน้ำภายในและภายนอกเซลล์<br /> ๕. เร่งปฏิกิริยา ปฏิกิริยาหลายชนิดในร่างกายจะดำเนินไปได้ ต้องมีเกลือแร่เป็นตัวเร่ง เช่น แมกนีเซียม เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่เกี่ยวกับการเผาผลาญกลูโคสให้เกิดกำลังงาน</span><strong><br /><span style="color: #e69138;"> อาหารที่ให้เกลือแร่</span></strong><br />
<span style="color: #e69138;"> ต้นตอสำคัญของเกลือแร่ชนิดต่างๆ นั้น มีอยู่ในอาหารที่ให้โปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ถั่วเมล็ดแห้งผักและผลไม้ก็ให้เกลือแร่บางชนิดด้วย เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม ส่วนโซเดียมและคลอรีนนั้นร่างกายได้จากเกลือที่ใช้ปรุงอาหาร</span></td><td align="right"><span style="font-size: x-small;"></span></td></tr>
</tbody></table>
<table border="0" cellpadding="5" cellspacing="0" class="fontblacksm" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr valign="top"><td><span class="fontbold"><a href="http://www.blogger.com/null" name="น้ำ"></a><strong><span style="color: #192e4c;">น้ำ</span></strong></span><br />
<strong> <span style="color: #6aa84f;"> </span></strong><span style="color: #6aa84f;">น้ำเป็นสารอาหารอีกชนิดหนึ่ง ที่คนขาดไม่ได้ร่างกายได้น้ำจากน้ำดื่ม และการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ร่างกายขับถ่ายน้ำออกมากับปัสสาวะและอุจจาระ และโดยการระเหยทางผิวหนังและทางระบบทางเดินหายใจ ร่างกายมีกลไกควบคุมรักษาดุลน้ำให้อยู่ในเกณฑ์พอเหมาะ การขาดน้ำ เช่น ไม่มีน้ำดื่มเป็นเวลา ๒-๓ วัน หรือเกิดท้องเดินอย่างรุนแรงไม่ได้รับการรักษา สามารถทำให้เสียชีวิตได้ ในทางตรงกันข้ามถ้าร่างกายมีน้ำมากไป เช่น เป็นโรคไตขับถ่ายปัสสาวะไม่ได้ จะเกิดอาการบวม ซึ่งทำให้ตายได้เช่นกัน</span></td><td align="right"><span style="color: #6aa84f; font-size: x-small;"></span></td></tr>
</tbody></table>
<table border="0" cellpadding="5" cellspacing="0" class="fontblacksm" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr valign="top"><td><span class="fontbold"><a href="http://www.blogger.com/null" name="ใยอาหาร"></a><strong><span style="color: #6aa84f;">ใยอาหาร</span></strong></span><br />
<span style="color: #6aa84f;"><strong> </strong>ใยอาหาร (dietary fiber) หมายถึง สารจากพืชที่คนกินแล้ว น้ำย่อยไม่สามารถย่อยได้ ได้แก่ เซลลูโลส (cellulose) เฮมิเซลลูโลส (hemicellulose) เพกทิน (pectin) และลิกนิน (lignin) แม้ว่าร่างกายไม่สามารถย่อยใยอาหาร แต่การไม่กินใยอาหารมีผลร้ายต่อสุขภาพได้ การศึกษาพบว่า ใยอาหารมีบทบาทสำคัญต่อการขับถ่ายอุจจาระให้ดำเนินไปตามปกติ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการป้องกันไม่ให้เกิดโรคถุงตันที่ลำไส้ใหญ่ โรคมะเร็งของลำไส้ใหญ่ และลดระดับคอเลสเทอรอลในเลือด</span></td></tr>
</tbody></table>
<a href="http://file.giggog.com/news/pictures/2012-03/02/11-15-28-627280722.gif" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" id="il_fi" src="http://file.giggog.com/news/pictures/2012-03/02/11-15-28-627280722.gif" style="padding-bottom: 8px; padding-right: 8px; padding-top: 8px;" width="235" /></a> <br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<strong><span style="color: #93c47d; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: large;">โภชนาบัญญัติ 9 ประการ </span></strong><br />
<div class="sites-canvas-main" id="sites-canvas-main">
<div id="sites-canvas-main-content">
<table cellspacing="0" class="sites-layout-name-one-column sites-layout-hbox" xmlns="http://www.w3.org/1999/xhtml"><tbody>
<tr><td class="sites-layout-tile sites-tile-name-content-1"><div dir="ltr">
<span style="font-family: Georgia, "Times New Roman", serif;"></span></div>
</td></tr>
</tbody></table>
<br /></div>
</div>
</div>
<span style="font-family: Times New Roman; font-size: small;"></span><br />
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="font-size: small;"><span style="font-family: Calibri;"></span></span><span style="font-size: small;"><span style="font-family: Calibri;"></span></span><span lang="TH" style="line-height: 115%;"><strong><span style="color: #ea9999; font-family: "Helvetica Neue", Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: large;">ประกอบด้วย</span></strong></span></div>
<span style="font-family: Times New Roman; font-size: small;"></span><br />
<div align="center" style="margin: 0cm 0cm 10pt; text-align: center;">
<br /></div>
<span style="font-family: Times New Roman; font-size: small;"></span><br />
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="font-family: Calibri; font-size: small;"> <img alt="" height="189" src="https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTZlc_b0oaHr19tffRu-Xv6ZZSwKcA1x26LN5Nt2wRTRtjuLxhI" style="display: block; height: 227px; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center; width: 295px; zoom: 1;" width="267" /></span></div>
<span style="font-family: Times New Roman; font-size: small;"></span><br />
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<br /></div>
<span style="font-family: Times New Roman; font-size: small;"></span><br />
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Calibri; font-size: small;"> </span><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif; font-size: large;">1. <span lang="TH" style="line-height: 115%;">กินอาหารให้ครบ </span>5<span lang="TH" style="line-height: 115%;"> หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากกลายและหมั่นดูแลน้ำหนักตัว เพื่อให้สารอาหารที่ ร่างกายต้องการอย่างครคบถ้วนและมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไม่อ้วนหรือผอมเกินไป</span> </span></span></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"> 2. <span lang="TH" style="line-height: 115%;">กินข้าวเป็นหลักสลับกับอาหารแป้งในบางมื้อ เลือกกินข้าวกล้องแทนข้าวขาวและได้คุณค่าและใยอาหารมากกว่า</span></span></span></span></div>
<span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"><span style="color: #3d85c6; font-size: large;"></span><br /></span>
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"> 3. <span lang="TH" style="line-height: 115%;">กินผักให้มาก และกินผลไม้ประจำ กินผักและผลไม้ทุกมื้อ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคและต้านโรคมะเร็งได้</span></span></span></span></div>
<span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"><span style="color: #3d85c6; font-size: large;"></span><br /></span>
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"> 4. <span lang="TH" style="line-height: 115%;">กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ ปลาเป็นโปรตีนคุณภาพดี และย่อยง่าย เป็นอาหารที่หาง่าย ถั่วเมล็ดแห้งเป็นโปรตีนจากพืชที่ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้</span></span></span></span></div>
<span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"><span style="color: #3d85c6; font-size: large;"></span><br /></span>
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"> 5. <span lang="TH" style="line-height: 115%;">ดื่มนมให้เหมาะสมกับวัย นมช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง เด็กควรดื่มนมวันละ </span>1-2<span lang="TH" style="line-height: 115%;"> แก้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มนมพร่องมันเนย วันละ </span>1-2<span lang="TH" style="line-height: 115%;"> แก้ว</span></span></span></span></div>
<span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"><span style="color: #3d85c6; font-size: large;"></span><br /></span>
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"> 6. <span lang="TH" style="line-height: 115%;">กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร กินอาหารประเภททอด ผัด หรือแกงกะทิ แต่พอควร เลือกกินอาหาร ประเภท ต้ม นึ่ง ย่าง (ที่ไม่ไหม้เกรียม) แกงไม่ใส่กะทะเป็นประจำ</span></span></span></span></div>
<span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"><span style="color: #3d85c6; font-size: large;"></span><br /></span>
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"> 7. <span lang="TH" style="line-height: 115%;">หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด กินหวานมากเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด กินเค็มจัดเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง</span></span></span></span></div>
<span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"><span style="color: #3d85c6; font-size: large;"></span><br /></span>
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"> 8. <span lang="TH" style="line-height: 115%;">กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน อาหารที่ไม่สุกและปนเปื้อนเชื้อโรคและสารเคมี เช่น สารบอแร็กซ์ สารเร่งสี สารกันเชื้อรา สารฟอกขาว สารฆ่าแมลง ฟอร์มาลิน ทำให้เกิดโรคได้</span></span></span></span></div>
<span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"><span style="color: #3d85c6; font-size: large;"></span><br /></span>
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"> 9. <span lang="TH" style="line-height: 115%;">งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะทำให้มีความเสียงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคตับแข็ง โรคมะเร็งในหลอดอาหาร และโรคร้ายอีกมาก</span></span></span></span></div>
<span style="color: #ffe599; font-family: Times New Roman; font-size: large;"></span><br />
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="font-family: Calibri; font-size: large;"><span style="color: #ffe599; font-size: small;"> <img alt="" height="225" src="https://encrypted-tbn1.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRSlqXWcnREpbk-PeZIdV3yjvcIpeRHwgth1Q8O_PqE2RkLLAP5Vg" style="display: block; height: 225px; margin-left: auto; margin-right: auto; text-align: center; width: 224px; zoom: 1;" width="224" /></span></span></div>
<span style="font-family: Times New Roman; font-size: large;"></span><br />
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<strong><span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"><span lang="TH" style="line-height: 115%;">โภชนบัญญัติทั้ง </span>9<span lang="TH" style="line-height: 115%;"> ประการนี้ ต้องปฏิบัติต่อเนื่อง และทำให้ได้ครบทั้ง </span>9<span lang="TH" style="line-height: 115%;"> ประการ</span></span></span></span></strong></div>
<span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"><span style="color: #3d85c6; font-size: large;"></span><br /></span>
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"><strong> </strong><span lang="TH" style="line-height: 115%;"><strong>การจะมีโภชนาการที่ดีและสุขภาพที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดี ต้องคำนึงถึงหลักใหญ่</strong> ดังนี้</span> </span></span></span></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"> 1. <span lang="TH" style="line-height: 115%;">กินอาหารและปฏิบัติตามโภชนบัญญัติทั้ง </span>9<span lang="TH" style="line-height: 115%;"> ข้อ</span></span></span></span></div>
<span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"> 2. <span lang="TH" style="line-height: 115%;">ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ</span></span></span></span><br />
<span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"> 3. <span lang="TH" style="line-height: 115%;">ผ่อนคลายจิตใจ</span></span></span></span><br />
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<span style="font-size: large;"><span style="color: #3d85c6;"><span style="font-family: Times, "Times New Roman", serif;"> 4. <span lang="TH" style="line-height: 115%;">หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษภัย เช่น บุหรี่ เหล้า และสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ</span></span></span></span></div>
<div style="margin: 0cm 0cm 10pt;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br /></div>
<div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none;">
<br /></div>
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;">
</div>
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/05901078271783770994noreply@blogger.com1